ทิพยประกันภัยแกร่ง โชว์กำไรไตรมาสแรกเติบโตพุ่ง 209.15%ด้าน TIPH เดินหน้าลุยซื้อกิจการพร้อมสยายปีกเปิดบริษัทประกันภัยใหม่ทั้งในและต่างประเทศ

ทิพยประกันภัยแกร่ง โชว์กำไรไตรมาสแรกเติบโตพุ่ง 209.15%ด้าน TIPH เดินหน้าลุยซื้อกิจการพร้อมสยายปีกเปิดบริษัทประกันภัยใหม่ทั้งในและต่างประเทศ

ทิพยประกันภัย หรือ TIP ประกาศกำไรสุทธิ ไตรมาส 1/2565 ที่ 643 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ209.15% จากไตรมาสก่อนหน้า กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.07 บาท โชว์เบี้ยประกันภัยรับ เติบโตถึงร้อยละ 17.15 และเติบโตขึ้นในทุกประเภทผลิตภัณฑ์ ในส่วนของ ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ TIPH ดร. สมพร สืบถวิลกุลยืนยันเดินหน้าเข้าซื้อบริษัทประกันภัยอย่างน้อย 2 บริษัท เพื่อจัดตั้งบริษัทประกันภัยดิจิทัล และบริษัทประกันภัยตะกาฟุล เต็มรูปแบบแห่งแรกของประเทศไทย วางเป้าหมายผลักดันเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายใน 5 ปีมั่นใจสามารถรักษาอัตราการจ่ายเงินปันผล และสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างยั่งยืนในอนาคตได้

ดร.สมพร สืบถวิลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIPH และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ TIP เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2565 ของ ทิพยประกันภัย ว่า TIP ยังสามารถสร้างการเติบโตได้ดี แม้ว่าในภาพรวมของอุตสาหกรรมประกันภัยในประเทศไทยจะยังคงได้รับผลกระทบจาก COVID-19  โดยมี กำไรสุทธิรวม643 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.07 บาท ในส่วนของรายได้ TIP มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 8,092 ล้านบาทเพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 17.15 จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับในทุกประเภทผลิตภัณฑ์ ประกอบกับมีรายได้และกำไรจากเงินลงทุนรวม 174 ล้านบาท ส่งผลให้ TIP มีรายได้รวมทั้งหมดที่ 3,766 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.80 สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการดำเนินงานตามแผนธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการที่ตรงต่อความต้องการของลูกค้า รวมถึงการยกระดับการให้บริการอย่างต่อเนื่อง

ในส่วนของงบการเงินรวมของบริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส1/2565 จำนวน 638 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิต่อหุ้นจำนวน 1.06 บาท โดย TIPH ได้รับเงินปันผลจากทิพยประกันภัยในอัตราหุ้นละ 1.50 บาท เรียบร้อยแล้วในเดือนเมษายน 2565 โดยที่บริษัทฯ จะพิจารณาการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นของ TIPH ตามความเหมาะสมและตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

ทั้งนี้ในส่วนของ บริษัท อะมิตี้ อินชัวร์รันซ์ โบรคเกอร์ จำกัด หรือ Amity และบริษัท ดีพี เซอร์เวย์ แอนด์ลอว์ จำกัด หรือ DP Survey ซึ่งเป็นบริษัทย่อยภายใต้กลุ่มธุรกิจสนับสนุนประกันภัย (Insurance Supported Business) ของ TIPH นั้น บริษัทฯ จะสามารถรับรู้รายได้และกำไรของทั้งสองบริษัทเข้ามาได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/2565 เป็นต้นไป โดยที่แผนธุรกิจในปี 2565 บริษัทฯ ตั้งเป้าให้ Amity พัฒนาInsurance Aggregator Platform สำหรับรวบรวมตัวแทนและนายหน้าขนาดกลางและขนาดเล็กทั่วประเทศไทย และในส่วนของ DP Survey จะพัฒนา Surveyor Platform เพื่อเป็นเครือข่าย Surveyor ให้ลูกค้าเข้าถึงบริการได้อย่างรวดเร็วและเป็นมาตรฐานเดียวกัน ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเป้าหมายจะนำทั้งสองบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ภายใน 5 ปี

นอกจากนี้ สำหรับแผนการลงทุนของ TIPH ในช่วงที่เหลือของปี 2565 นั้น TIPH มีแผนลงทุนเพิ่มในบริษัทประกันวินาศภัย เพื่อนำใบอนุญาตการประกอบธุรกิจประกันภัย มารองรับการแยกหน่วยธุรกิจประกันภัยที่มีศักยภาพของบริษัทในกลุ่มออกเป็นบริษัทประกันภัยใหม่ (Spin-Off)  อย่างน้อย 2 บริษัทในปีนี้ โดยจะเป็นบริษัทประกันวินาศภัยดิจิทัล 100% และบริษัทประกันภัยตะกาฟุล (Takaful) แห่งแรกของประเทศไทย รวมไปถึงการตั้งบริษัทด้านเทคโนโลยีสำหรับกลุ่มธุรกิจประกันภัย 100% หรือTechnology Company for Insurance Business เพื่อดูแลระบบสารสนเทศให้กับทุกๆบริษัทที่อยู่ในกลุ่มอีกทั้งบริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการดำเนินธุรกิจประกันภัยในประเทศกัมพูชา ซึ่งน่าจะสำเร็จได้ภายในปีนี้

ทั้งนี้ ด้วยความพร้อมของบริษัท ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ทั้งในด้านของโครงสร้างธุรกิจที่มีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง โครงสร้างกลุ่มผู้ถือหุ้นที่แข็งแกร่งและพร้อมสนับสนุนแผนการขยายธุรกิจในอนาคต ประกอบกับ บริษัทฯ มีแหล่งเงินทุนที่พร้อมรองรับแผนการลงทุนของบริษัทฯได้แล้วทั้งหมด ทั้งในส่วนของเงินปันผลจาก ทิพยประกันภัย และการสนับสนุนทางการเงินจากธนาคารพาณิชย์ชั้นนำในประเทศไทย นอกจากนี้ ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ได้มีมติอนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้ในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนตามแผนธุรกิจในปีนี้ด้วย ขณะที่TIPH มีเป้าหมายที่จะลงทุนในธุรกิจที่มีกำไรเท่านั้น ดังนั้น บริษัทฯ จึงมั่นใจว่าจะสามารถรักษาอัตราการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในระดับที่ไม่ต่ำกว่าเดิม และสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้อย่างยั่งยืนในอนาคตได้ ดร. สมพร กล่าวทิ้งท้าย

ข่าวเกี่ยวข้อง