ทีเอ็มบีธนชาต รายงานกำไรสุทธิ 5,096 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี2568 คุณภาพสินทรัพย์เป็นไปตามเป้าหมายหนี้เสียอยู่ในระดับต่ำที่2.75% เป็นผลจากการเติบโตสินเชื่ออย่างมีคุณภาพ สนับสนุนการแก้หนี้อย่างยั่งยืน

ทีเอ็มบีธนชาต รายงานกำไรสุทธิ 5,096 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี2568 คุณภาพสินทรัพย์เป็นไปตามเป้าหมายหนี้เสียอยู่ในระดับต่ำที่2.75% เป็นผลจากการเติบโตสินเชื่ออย่างมีคุณภาพ สนับสนุนการแก้หนี้อย่างยั่งยืน

กรุงเทพฯ, 18 เมษายน2568 -- ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด(มหาชน) หรือ ทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) แจ้งผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 โดยธนาคารและบริษัทย่อยรายงานกำไรสุทธิที่ 5,096 ล้านบาทในไตรมาสแรกหนุนโดยการบริหารจัดการด้านต้นทุน ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนทางการเงินต้นทุนการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายตั้งสำรองฯด้านคุณภาพสินทรัพย์ยังคงบริหารจัดการได้ตามเป้าหมาย อัตราส่วนหนี้เสียอยู่ในเกณฑ์ควบคุมที่ 2.75% ขณะที่อัตราส่วนสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพทรงตัวในระดับสูงที่ 150% 

นายปิติ ตัณฑเกษมประธานเจ้าหน้าที่บริหารทีเอ็มบีธนชาต เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี2568 ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย โดยธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบ และมุ่งดำเนินการใน 3 เรื่องหลัก ในประการแรก คือ การรักษาแนวโน้มผลประกอบการในปี 2568ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ถัดมา คือ การดูแลลูกค้าและสนับสนุนการแก้หนี้อย่างยั่งยืน และท้ายสุดคือ การดำเนินการตามแผนบริหารจัดการส่วนทุนเพื่อสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น

ทั้งนี้ เพื่อรักษาแนวโน้มของผลประกอบการในปี2568 ธนาคารยังคงเน้นย้ำการบริหารจัดการด้านต้นทุน ทั้งต้นทุนทางการเงิน ต้นทุนการดำเนินงาน และต้นทุนความเสี่ยงหรือค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการต่อยอดศักยภาพด้านดิจิทัลและData Analytics เพื่อเพิ่มความสัมพันธ์กับลูกค้าไปสู่การนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ภายใต้แนวคิดEcosystem Play และกระตุ้นรายได้ค่าธรรมเนียมที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับการให้สินเชื่อเพื่อช่วยลดผลกระทบด้านรายได้ ซึ่งยังคงเผชิญแรงกดดันจากภาวะดอกเบี้ยขาลงและภาวะเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตสินเชื่อ ส่งผลให้ธนาคารยังคงสามารถรักษาแนวโน้มของผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง จากระดับ4,992 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี 2567 มาอยู่ที่ 5,096 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2568 หนุนโดยค่าใช้จ่ายดำเนินงานและค่าใช้จ่ายตั้งสำรองฯที่ลดลง 7% และ 2% จากไตรมาสที่แล้ว ตามลำดับ

ในด้านการดูแลลูกค้าธนาคารยังคงเดินหน้าให้ความช่วยเหลือลูกค้าและสนับสนุนการแก้หนี้อย่างยั่งยืนผ่านหลากหลายโครงการ เช่นโครงการรวบหนี้ ซึ่งเป็นโครงการที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้นจาก 17,000 รายในปี 2566 มาสู่ 37,470 ราย ในปี 2567 และกว่า47,000 ราย ในปัจจุบันหรือเทียบเท่าว่าธนาคารสามารถช่วยลูกค้าลดภาระดอกเบี้ยไปได้มากกว่า 2,300 ล้านบาท และล่าสุดกับโครงการคุณสู้ เราช่วยซึ่งมีลูกค้ารายย่อยและลูกค้า SME เข้าร่วมโครงการแล้วกว่า35,000 ราย

ในประการท้ายสุด คือการดำเนินการตามแผนการบริหารส่วนทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ทั้งนี้ ในเดือนมกราคม 2568ธนาคารได้ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนระยะ3 ปี ภายใต้วงเงิน21,000 ล้านบาท ซึ่งนอกจากจะเป็นการใช้เงินทุนส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อผลักดันการบรรลุเป้าหมายROE ที่ 10% แล้ว ยังคาดว่าการดำเนินโครงการดังกล่าวจะช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนในตลาดทุนที่มีต่อมูลค่าของผู้ถือหุ้นได้เช่นกัน ในส่วนของการเข้าซื้อหุ้นในบริษัทหลักทรัพย์ธนชาตก็มีความคืบหน้าตามแผนที่ได้วางไว้

สำหรับช่วงที่เหลือของปีธนาคารคาดว่าความขัดแย้งในเวทีการค้าโลกอาจส่งผลกระทบและสร้างความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้นต่อภาคการส่งออกและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ดังนั้น จึงจะยังคงเน้นย้ำการดำเนินธุรกิจอย่างรอบคอบต่อไป เพื่อให้มั่นใจว่าพอร์ตสินทรัพย์และสถานะทางการเงินยังคงมีความแข็งแกร่งสามารถรักษาแนวโน้มของผลประกอบการและอัตราการจ่ายเงินปันผลให้อยู่ในระดับสูงนอกจากนี้ จะยังคงดำเนินการตามแผนการเปลี่ยนแปลงองค์กร(Transformation) เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายระยะยาวในการเป็น Humanized Digital Banking หรือดิจิทัลแบงก์กิ้งที่ใช้งานง่าย ตอบโจทย์ เป็นประโยชน์กับลูกค้า ในประการสำคัญ ธนาคารยังคงเดินหน้าให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และสนับสนุนแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) รวมทั้งการแก้หนี้อย่างยั่งยืน เพื่อให้ลูกค้ามีชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น

สำหรับผลการดำเนินงานรายการหลัก ๆ ในไตรมาส 1 ปี 2568 มีดังนี้

สินเชื่อ ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ 1,211 พันล้านบาท ชะลอลง 2.4%จากสิ้นปี 2567 เป็นผลจากการเติบโตสินเชื่ออย่างรอบคอบ การชำระคืนหนี้ของลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ รวมทั้งการชะลอตัวของสินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ยังคงซบเซา ทั้งนี้ธนาคารยังคงเน้นการปรับโครงสร้างสินเชื่อไปยังกลุ่มสินเชื่อรายย่อยเพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทน ผ่านการนำเสนอโซลูชันทางการเงินภายใต้แนวคิดEcosystem Play ให้กับลูกค้ากลุ่มคนมีบ้าน คนมีรถ พนักงานเงินเดือนและลูกค้า Wealth ส่งผลให้สินเชื่อกลุ่มเป้าหมายยังคงมีโมเมนตัมที่ดี เช่นสินเชื่อบ้านแลกเงิน(+2% YTD) และสินเชื่อเล่มแลกเงิน (+11% YTD)

ด้านเงินฝากอยู่ที่ 1,298 พันล้านบาท ลดลง2.3% จากสิ้นปี 2567 เป็นไปตามแผนบริหารสภาพคล่องและสอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตสินเชื่อใหม่ทั้งนี้ การลดลงส่วนใหญ่มาจากกลุ่มเงินฝากต้นทุนสูง เช่น เงินฝากประจำระยะยาวที่ครบกำหนด ขณะที่เงินฝากเพื่อการทำธุรกรรมกลุ่มลูกค้ารายย่อยยังคงขยายตัวได้ดี เช่น เงินฝาก ttb all free (+4%YTD) ด้านอัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (LDR)อยู่ที่ 93% ทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้าสะท้อนสภาพคล่องที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งก็จะช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้กับธนาคารในการบริหารต้นทุนทางการเงินในระยะถัดไป

ในด้านรายได้ ธนาคารมีรายได้จากการดำเนินงานรวมอยู่ที่ 16,553ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2568 ชะลอลง 3.3% จากไตรมาส 4 ปี 2567 (QoQ) เป็นผลจากรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลงตามการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายและสินเชื่อที่ชะลอตัว และรายได้ค่าธรรมเนียมที่ยังคงมีความท้าทาย สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ที่ 7,097 ล้านบาทลดลง 7.0% QoQสะท้อนผลจากการบริหารจัดการด้านต้นทุนรวมถึงการลดลงจากhigh season ในไตรมาส 4 ส่งผลให้อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ลดลงมาอยู่ที่ 43.1%จาก 44.3% ในไตรมาสที่แล้ว

สำหรับค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองฯ มีจำนวนทั้งสิ้น4,580 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2568ลดลง 2.4% QoQ เป็นผลจากภาพรวมด้านคุณภาพสินทรัพย์ที่ยังคงบริหารจัดการได้ดีและอัตราการผิดนัดชำระหนี้ของลูกค้าที่ลดลง โดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม(NPL Ratio) อยู่ที่2.75% ยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 2.9% ขณะที่อัตราส่วนสำรองฯต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพทรงตัวในระดับสูงที่150%

หลังจากหักสำรองฯ และภาษี ธนาคารรายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 1 ปี 2568 ที่ 5,096 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับ 4,992 ล้านบาท ในไตรมาส 4 ปี2567 สะท้อนความสามารถในการรักษาแนวโน้มของผลประกอบการ รวมทั้งการดูแลคุณภาพพอร์ตสินทรัพย์

ท้ายสุดด้านฐานะเงินกองทุน ยังคงอยู่ในระดับสูงและมีเสถียรภาพโดย ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี2568 อัตราส่วนเงินกองทุนรวม (CAR) และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 20.5% และ18.2% ตามลำดับ ยังคงสูงเป็นลำดับต้น ๆ ของอุตสาหกรรม และสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของธนาคารกลุ่ม D-SIBs ที่ธปท.กำหนดไว้ที่ 12.0%สำหรับ CAR และ 9.5%สำหรับ Tier 1

ข่าวเกี่ยวข้อง