เมืองไทยประกันชีวิต เผย “ฟิทช์ เรทติ้งส์” คงอันดับเครดิต ‘A-’แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพตอกย้ำสถานะธุรกิจแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง

เมืองไทยประกันชีวิต เผย “ฟิทช์ เรทติ้งส์” คงอันดับเครดิต ‘A-’แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพตอกย้ำสถานะธุรกิจแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าบริษัทฯ ได้รับการคงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากล (Insurer Financial Strength Rating: IFS Rating) จากฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2565 ที่ ‘A-’ หรืออยู่ในระดับ“แข็งแกร่ง” และคงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว (Long-Term Issuer Default Rating หรือ IDR) ที่  ‘BBB+’ โดยมีแนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ พร้อมกันนี้ ฟิทช์ยังคงอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินภายในประเทศ (National IFS Rating) ที่ ‘AAA(tha)’ แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ ซึ่งเป็นอันดับเครดิตในระดับประเทศที่สูงที่สุดแล้ว

ทั้งนี้ อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทฯ สะท้อนถึงโครงสร้างธุรกิจประกันชีวิตที่แข็งแรง ระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง ฐานะทางการเงินที่มั่นคงของบริษัทฯ โดยฟิทช์ เรทติ้งส์ ให้ความเห็นว่า การประกาศคงอันดับเครดิต  โดยแนวโน้มมีเสถียรภาพนั้น สะท้อนถึงความสามารถของบริษัทฯ ที่สามารถรักษาผลประกอบการให้มีเสถียรภาพและรักษาความแข็งแกร่งของระดับเงินกองทุน เนื่องจากบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับอัตรากำไร และนโยบาย        การลงทุนที่อยู่ในเกณฑ์ดี มีโครงสร้างธุรกิจ (Business Profile) ที่แข็งแกร่ง (Favorable) และการมีบรรษัทภิบาลที่ดี (moderate/favorable) เมื่อเทียบกับบริษัทประกันชีวิตอื่นภายในประเทศไทย

บริษัทฯ ยังคงมีเครือข่ายทางธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ โดยบริษัทฯ มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ระดับ12%-13%           ของจำนวนเบี้ยประกันภัยรวมของตลาด และยังได้รับการสนับสนุนด้านการดำเนินงานและด้านเทคนิคจากผู้ถือหุ้น       รายใหญ่คือธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการกระจายตัวของโครงสร้างธุรกิจที่ดี       ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ครอบคลุม และฐานลูกค้าภายในประเทศรวมถึงช่องทางการขายที่หลากหลาย ดังนั้น ฟิทช์ เรทติ้งส์ จึงจัดให้โครงสร้างการดำเนินงานของเมืองไทยประกันชีวิต ที่ระดับ ‘a-’ ตามหลักเกณฑ์การพิจารณาปัจจัยเครดิตของฟิทช์

บริษัทฯ สามารถดำรงระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่งได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยรองรับการผันผวนของสินทรัพย์        และผลกระทบจากความเสี่ยงด้านลบ โดยบริษัทฯ มีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฏหมาย    ที่ 316% ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2564 ซึ่งยังคงสูงกว่าเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดไว้ที่ 120% ฟิทช์ เรทติ้งส์ คาดว่าระดับเงินกองทุนของบริษัทฯ น่าจะยังคงอยู่ใน

ระดับที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฏหมายมากกว่า300%          อีกทั้ง ยังคาดว่าการออกตราสารด้อยสิทธิที่นับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 ของบริษัทฯ เมื่อเดือนตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา  ยังจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับฐานะเงินกองทุนของบริษัทฯ โดยฟิทช์ เรทติ้งส์ คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทฯ   จะอยู่ในระดับต่ำกว่า 25% ซึ่งจะดีกว่าค่าเฉลี่ยตามเกณฑข์องฟิทช์ เรทติ้งส์ ที่ช่วงอันดับเครดิตปัจจุบัน

บริษัทฯ ยังคงมีปริมาณสินทรัพย์เสี่ยง (ตามนิยามของฟิทช์) ในระดับที่ค่อนข้างสูง จากการเพิ่มสัดส่วนการลงทุน    ในตราสารทุน และตราสารหนี้ภาคเอกชน เพื่อรักษาผลตอบแทนโดยรวม โดย ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2564 บริษัทฯ             มีอัตราส่วนสินทรัพย์เสี่ยงต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ระดับ 258% (สิ้นปี2563 อยู่ที่ 249%) ซึ่งสูงกว่าระดับคาดการณ์ของฟิทช์ เรทติ้งส์ สำหรับบริษัทประกันชีวิตที่มี อันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากลที่ระดับ ‘A’ โดยอัตราส่วนสินทรัพย์เสี่ยงที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากสัดส่วนการลงทุนของบริษัทฯ ที่เพิ่มขึ้นในตราสารทุนและตราสารหนี้    ที่มีอันดับเครดิตสากลต่ำกว่าระดับลงทุน(Non - Investment Grade) รวมถึงเงินลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่ถูกนำ            ไปคำนวณความเสี่ยงที่15% ของการลงทุนด้วย ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์การพิจารณา การจัดอันดับเครดิต       ของฟิทช์ เรทติ้งส์ทั้งนี้ บริษัทฯ มีสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ที่ 306% ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี2564 ความสามารถในการทำกำไรยังคงแข็งแกร่ง แม้สภาพแวดล้อมของเศรษฐกิจจะค่อนข้างซบเซาบริษัทฯ     มีอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นต่อปีที่ 11.5% ณ สิ้นไตรมาสที่3 ปี 2564 ซึ่งสูงกว่าความคาดหมาย        ของฟิทช์ เรทติ้งส์ สำหรับบริษัทประกันชีวิตที่มีอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากลที่ระดับ ‘A’ นอกจากนี้ ฟิทช์ เรทติ้ง ยังคาดว่าการขยายตัวไปในธุรกิจประกันเพื่อความคุ้มครองและประกันสุขภาพ จะช่วยให้ผลประกอบการโดยรวมของบริษัทฯ ปรับตัวดีขึ้น

นายสาระ กล่าวเสริมว่า เมืองไทยประกันชีวิตให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างมั่นคงแข็งแกร่งมาโดยตลอด    เพราะบริษัทฯ อยู่ในธุรกิจการเงิน ความน่าเชื่อถือไว้วางใจที่ผู้บริโภคมีต่อบริษัทฯ นั้น ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก         ซึ่งสอดคล้องกับการตั้งเป้าหมายการเติบโตของปี 2565 อย่างยั่งยืนในทุกมิติ(Sustainable Growth) โดยได้กำหนดยุทธศาสตร์เพื่อการเติบโตทางธุรกิจและตอบโจทย์ลูกค้าอย่างตรงจุด ที่มุ่งเน้นการพัฒนาขีดความสามารถ                  ของช่องทางการขายเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน(Distribution Capabilities Enhancement to Grow Sustainably)      พร้อมดำเนินกลยุทธ์ภายใต้แนวคิด “MTL NEXT TO YOU” ที่มุ่งเน้นการพัฒนารอบด้านอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อก้าวเคียงคู่ดูแลทุกช่วงของชีวิต ส่งมอบความสุขและรอยยิ้มแก่ลูกค้าในทุกกลุ่ม (Democratize Insurance) รวมทั้งประกาศจุดยืนในการเป็นผู้นำตลาดด้านความคุ้มครองสุขภาพ (Most Trusted Health Partner)  และการบริหาร

ความมั่งคั่ง (Wealth Leader) ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์  ช่องทางการขาย และการบริการ ผ่านนวัตกรรม        และเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุก Journey ทุกไลฟ์สไตล์แบบ End to End   ได้อย่างเหมาะสม ในรูปแบบที่มีความเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้น และครบถ้วนในทุกมิติ พร้อมสร้างความมั่งคั่งและมั่นคงอย่างยั่งยืนแก่ลูกค้า พนักงาน สังคม พันธมิตร และผู้ถือหุ้น รวมถึงการยกระดับองค์กรสู่ความเป็นสากล            เพื่อสามารถรับมือกับโลกยุคดิจิทัลเต็มตัว พร้อมให้ความสำคัญกับการขยายตลาดไปสู่ประเทศที่มีศักยภาพ         การเติบโตทางด้านเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง(Regional Company) และ “ฟิทช์ เรทติ้งส์” ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับนานาชาติ จึงเป็น “คนกลาง” ที่เข้ามาช่วยยืนยันสถานะความมั่นคงแข็งแกร่งของเมืองไทยประกันชีวิตได้เป็นอย่างดี” นายสาระ กล่าว

ข่าวเกี่ยวข้อง