ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย ขึ้นแท่นธนาคารที่เติบโตเร็วที่สุดในไทยเปิดตัวแคมเปญ Standby เพิ่มสภาพคล่องลูกค้า Micro SME
ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย เป็นธนาคารที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ชูปรัชญาแบรนด์ ‘Everyone Matters ทุกคนคือคนสำคัญ’ ช่วยเหลือลูกค้า Micro SME ฝ่าวิกฤต เดินหน้าขับเคลื่อนกลยุทธ์ 3 เสาหลัก ได้แก่ มุ่งลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ประสิทธิภาพการดำเนินงาน และวัฒนธรรมองค์กร เพื่อผลักดันการเติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมเปิดตัวสินเชื่อ SME กล้าให้ Standby OD เพิ่มเงินทุนสำรองเสริมสภาพคล่องตอบสนองความต้องการลูกค้า Micro SME ให้ตรงจุดยิ่งขึ้น ตอกย้ำความเป็นผู้นำสินเชื่อ Micro SME พร้อมตั้งเป้าสู่การเป็นธนาคารเพื่อรายย่อยที่ดีที่สุดในประเทศ
นายวิญญู ไชยวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ในฐานะธนาคารเพื่อรายย่อยชั้นนำของไทย ธนาคารไทยเครดิตมีความมุ่งมั่นในการให้บริการทางการเงินที่ดีที่สุดแก่ผู้ประกอบการรายย่อยทั่วประเทศ ธนาคารยึดหลักปรัชญาแบรนด์ ‘Everyone Matters ทุกคนคือคนสำคัญ’ เป็นแนวทางในการดำเนินงาน โดยให้ความสำคัญกับลูกค้าธุรกิจรายย่อยเช่น กิจการร้านขายของชำและร้านค้าในตลาดสดที่มีอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นหน่วยเศรษฐกิจฐานรากของประเทศแต่ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ได้ ธนาคารไทยเครดิตจึงมุ่งเติมเต็มความต้องการของธุรกิจขนาดเล็กเหล่านี้ ซึ่งเป็นตลาดที่สำคัญแต่ถูกมองข้าม ส่งผลให้ธนาคารมีผลประกอบการและฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง และเป็นธนาคารที่มีการเติบโตเร็วที่สุดในประเทศในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
“หัวใจสำคัญในการทำงานของธนาคารไทยเครดิต คือ การยืนหยัดเคียงข้างลูกค้าในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ธนาคารจึงมุ่งเน้นในการสนับสนุนพร้อมเคียงข้างผู้ประกอบการรายย่อย ทั้งกลุ่มนาโนไฟแนนซ์และกลุ่ม Micro SME ทั่วประเทศ ทั้งในช่วงเวลาที่ดีและในช่วงวิกฤต ที่เห็นได้ชัดคือ ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ธนาคารได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าจำนวนหลายพันราย ทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ระยะสั้นและระยะยาว และการให้สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระทางการเงิน และส่งเสริมให้ลูกค้าสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ซึ่งจากการสำรวจความคิดเห็นของลูกค้า พบว่าลูกค้ามีความไว้วางใจในธนาคารและพึงพอใจกับบริการและการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด นอกจากนี้ โครงการ ‘ตังค์โต Know-how’ ของธนาคารที่ได้รับการรับรองคุณภาพหลักสูตรฝึกอบรมจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ช่วยพัฒนาความรู้พื้นฐานทางการเงินให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อย ครอบคลุมทั้งลูกค้าและผู้ที่ไม่ใช่ลูกค้าของธนาคาร จำนวนกว่า 65,000 รายในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ช่วยให้ผู้ประกอบการนำความรู้ไปปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจและพัฒนาธุรกิจให้เติบโต ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเคียงข้างและเสริมพลังในฐานะหุ้นส่วนทางการเงินของผู้ประกอบการรายย่อยทั่วประเทศ” นายวิญญู กล่าว
นายรอย ออกุสตินัส กุนารา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าธนาคารไทยเครดิตตั้งเป้าสู่การเป็นธนาคารเพื่อรายย่อยที่ดีที่สุดในประเทศ (Best Micro Bank) โดยธนาคารมีจุดมุ่งหมายในการส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า ซึ่งส่งผลให้ธนาคารมีผลประกอบการทางการเงินและการเติบโตที่ดีเยี่ยม แม้ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ธนาคารไทยเครดิตพร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนภายใต้กลยุทธ์ 3 เสาหลัก คือ
1. มุ่งลูกค้าเป็นศูนย์กลาง พนักงานของธนาคารมีความรู้ความเข้าใจที่หยั่งรากลึกในธุรกิจ พนักงานจะคอยดูแลลูกค้าและเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้ดีที่สุด ขณะที่โมเดลธุรกิจของธนาคารได้รับการออกแบบให้คำนึงถึงลูกค้าเป็นสำคัญ ด้วยรูปแบบที่เข้าถึงง่าย ลดปัญหาของลูกค้า และมอบโอกาสที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า โดยให้ความสำคัญต่อลูกค้าเป็นที่หนึ่ง
2. ประสิทธิภาพการดำเนินงาน ธนาคารไทยเครดิตมีสาขารับเงินฝากเงิน รวม 25 สาขา ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ขณะที่มีสาขาสินเชื่อเพื่อรายย่อยรวม 500 แห่ง กระจายอยู่ทั่วประเทศ นับเป็นโมเดลธุรกิจที่มีต้นทุนในการดำเนินงานต่ำและมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ธนาคารสามารถสร้างประโยชน์ให้แก่ลูกค้าพร้อมส่งมอบผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้น ทำให้ธนาคารมีการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต
3. วัฒนธรรมองค์กร พนักงานของธนาคารไทยเครดิตทุกคนจะให้ความสำคัญกับลูกค้าทุกคน ซึ่งไม่ว่าจะมีธุรกิจขนาดเล็กแค่ไหนก็ล้วนมีคุณค่า ภายใต้ปรัชญาแบรนด์ ‘Everyone Matters ทุกคนคือคนสำคัญ’ ทีมงานของธนาคารจะส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า พร้อมยกระดับความสามารถในการเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพในการดำเนินงานตามโมเดลธุรกิจของธนาคาร
ทั้งนี้ ธนาคารไทยเครดิตไม่เพียงมีการเติบโตที่เร็วที่สุดในประเทศไทยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ธนาคารยังให้ผลตอบแทนสูงสุดจากผลประกอบการทางการเงินที่โดดเด่นและเหนือกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรม ในปี2564 ธนาคารมีกำไรสุทธิ 1,935 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 และมียอดสินเชื่อ9.82 หมื่นล้านบาท เติบโต 43% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 จากการให้สินเชื่อแก่ลูกค้ากว่า 250,000 รายในช่วงสถานการณ์โควิด-19
นอกจากนี้ ธนาคารได้มีการปรับปรุงกระบวนการทำงานที่สำคัญ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานโดยรวมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการบริหารจัดการทรัพยากร ทั้งการลดต้นทุนและเสริมสร้างการทำงานร่วมกัน (Synergy) ในองค์กรอย่างเหมาะสม ส่งผลให้ธนาคารมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวมลดลงจาก 49.9% เป็น 42.3% ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ธนาคารยังเห็นถึงการเติบโตที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นของธุรกิจขนาดเล็ก ผ่านโครงการความช่วยเหลือด้านสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการของธนาคาร ภายใต้มาตรการสนับสนุนของธนาคารแห่งประเทศไทย ส่งผลให้ธนาคารมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) อยู่ในระดับที่น่าพอใจที่ 2.9% สะท้อนถึงคุณภาพพอร์ตสินเชื่อและการบริหารความเสี่ยงของธนาคาร ทำให้ธนาคารไทยเครดิตขึ้นแท่นธนาคารชั้นนำของอุตสาหกรรม
นายนาธัส กฤตวรานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริหารธุรกิจไมโครเอสเอ็มอี ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารไทยเครดิตมุ่งมั่นในการช่วยเหลือและสนับสนุนกลุ่มธุรกิจMicro SME ที่ประสบปัญหาทางการเงินให้สามารถข้ามผ่านความยากลำบากจากสถานการณ์โควิด-19 ไปให้ได้ ซึ่งกลุ่มธุรกิจ Micro SME มีสัดส่วนมากกว่า 85% ของธุรกิจทั้งประเทศ นับเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่สำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโต โดยธนาคารได้เปิดตัวแคมเปญ Standby เพื่อสื่อถึงการยืนหยัดเคียงข้างลูกค้าในช่วงวิกฤต พร้อมออกสินเชื่อ SME กล้าให้ Standby OD ที่จะช่วยเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจ Micro SME มีความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น โดยเป็นเงินทุนสำรองให้ผู้ประกอบการสามารถนำไปใช้หมุนเวียนได้ทันทีเมื่อมีความต้องการ
ภายใต้แคมเปญ Standby ธนาคารไทยเครดิตมีแผนจะสร้างคอมมูนิตี้สำหรับผู้ประกอบการ Micro SMEในรูปแบบเว็บไซต์และเพจเฟซบุ๊ก Thai Credit SME กล้าให้ เพื่อเป็นแหล่งรวบรวมสาระความรู้และข่าวสาร รวมถึงการจัดอบรมเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อจุดประกายความคิดในการพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ รวมทั้งการจัดผู้ช่วยธุรกิจส่วนบุคคล (Standby Assistant) เพื่อให้คำปรึกษาและช่วยเหลือลูกค้า และโปรแกรม Privilege เพื่อมอบสิทธิประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ให้แก่ลูกค้าMicro SME
เพื่อส่งกำลังใจให้กับลูกค้าและผู้ประกอบการ รวมถึงประชาชนทั่วไป ให้สู้กับทุกอุปสรรคและข้ามผ่านช่วง เวลาที่ยากลำบาก ธนาคารได้ร่วมกับ บอย โกสิยพงษ์ นักร้องและนักแต่งเพลงชั้นนำของเมืองไทยสร้างสรรค์บทเพลง “Standby” เพื่อสื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่าในช่วงวิกฤตยังมีอีกคนหนึ่งที่เคียงข้าง พร้อมช่วยเหลือและสนับสนุนอยู่ตลอดเวลา โดยมี ป๊อด ธนชัย อุชชิน และ รัดเกล้า อามระดิษ ร่วมถ่ายทอดบทเพลง
รับชม MV เพลง Standby ผ่านช่องทาง YouTube: Thai Credit SME กล้าให้ และ Facebook: Thai Credit SME กล้าให้ และติดตามรับฟังเพลง Standby ผ่านช่องทาง Streaming Platform ชั้นนำ ทั้งApple Music, Spotify, Joox, YouTube Music และคลื่นวิทยุทั่วประเทศ