โบรกฯ เชียร์ซื้อ TIDLOR อัพราคาเป้าหมายสูงสุด 36 บาทตอบรับการปรับลดเป้าNPL และ Credit cost ในปี 2566

โบรกฯ เชียร์ซื้อ TIDLOR อัพราคาเป้าหมายสูงสุด 36 บาทตอบรับการปรับลดเป้าNPL และ Credit cost ในปี 2566

โบรกเกอร์ต่างให้คำแนะนำ "ซื้อ" หุ้น TIDLOR พร้อมปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย โดยให้ราคาสูงสุดที่ 36 บาท ตอบรับมุมมองเชิงบวกต่อการปรับลดเป้า NPL เป็นไม่เกิน 1.8% จาก 2% และเป้าค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญลดลงเป็นกรอบ 3.0-3.35% รวมถึงปรับประมาณการกำไรปี 2566-2568 เพิ่มขึ้น เพื่อสะท้อนการคลายกังวลด้านคุณภาพสินเชื่อและแนวโน้มการตั้งสำรองที่ลดลง

ชี้มีงบดุลแข็งแกร่งต้านทานการแข่งขันรุนแรงได้

บทวิเคราะห์ บล.เกียรตินาคินภัทร ระบุถึง บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR โดยระบุว่า เราได้ปรับเพิ่มคำแนะนำ TIDLOR เป็น Buy จาก Underperform ราคาเป้าหมาย 36 บาท (เพิ่มจาก 22 บาท) หลังผลประกอบการไตรมาส 1/2566 ดีกว่าคาด และมุมมองเชิงบวกต่อคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นในวงกว้าง ความกังวลการผิดนัดชำระหนี้และภาระค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองที่ลดลง โดยมีการปรับประมาณการกำไรปี 2566-2568 เพิ่มขึ้น 4%, 9% และ 10% ตามลำดับ โดยราคาเป้าหมายใหม่ที่ 36 บาท มาจากเป้า PBV ปี 2567 ที่ 3 เท่า  TIDLOR เป็นตัวเลือกเดียวในกลุ่มธุรกิจการเงิน เนื่องจากมีงบดุลที่แข็งแกร่ง และการที่สามารถฝ่าฟันปัจจัยลบต่างๆ ของภาคอุตสาหกรรมมาได้ ซึ่งรวมถึงการเพิ่มขึ้นของการผิดนัดชำระหนี้และการแข่งขันที่รุนแรง

สำหรับผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในไตรมาส 1/2566 แสดงให้เห็นว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีผลเชิงบวกต่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อยหรือผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ ประกอบกับการติดตามหนี้ที่ดีขึ้นของ TIDLOR ส่งผลให้ต้นทุนด้านเครดิตและ NPL formation ออกมาดีกว่าคาด และคาดการณ์ว่า NPL จะเพิ่มขึ้นในไตรมาส 2/2566 แต่อย่างไรก็ตามมองว่า บริษัทฯ จะยังการเติบโตจากการฟื้นตัวของปัจจัยภายนอกบวกกับความสามารถในการควบคุมความเสี่ยงที่ดีของบริษัทฯ

ด้านบทวิเคราะห์บล.กสิกรไทย ระบุว่า TIDLOR เป็นรายแรกที่หลุดจากวัฎจักร NPL โดยฝ่ายบริหารได้ปรับลดเป้าหมายอัตราส่วน NPL ทั้งปี 2566 ลงไม่เกิน 1.8% จาก 2% และได้ลดกรอบบนต้นทุนสินเชื่อลงมาที่ 3-3.35% จาก 3-3.50% นอกจากนี้ ยังมีกลยุทธ์สร้างการเติบโตด้วยความระมัดระวัง โดยยังคงเป้าการเติบโตของสินเชื่อในกรอบ 10-20% สำหรับปี 2566 เทียบกับคาดการณ์ของเราที่ 13% โดยบริษัทมีแผนที่จะเปิดสาขาเพียง 50-100 สาขาในช่วงครึ่งปีหลัง เทียบกับ 300 สาขา ที่เปิดปี 2565 ส่วนธุรกิจนายหน้าประกันภัยที่ยังคงเติบโตดี ฝ่ายบริหารยังคงคาดการณ์การเติบโตค่าธรรมเนียมนายหน้าประกันภัยในปี 2566 ที่ 20-25% โดยยังเติบโตได้ตามเป้าหมาย และยังมีการแยกแบรนด์นายหน้าประกันภัยออกมาเป็นแบรนด์ประกันติดล้อเพื่อสร้างความชัดเจนและการจดจำเพื่อรองรับผลิตภัณฑ์ประกันใหม่ๆ ที่จะออกมา และเชื่อว่าแผนการเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจประกันของ TIDLOR จะทำให้บริษัทแตกต่างจากคู่แข่งรายอื่นๆ โดยคาดว่ารายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) จะยังเติบโตได้ 20% ในปี 2566 และ 18% ในปี 2567

ปรับเพิ่มคำแนะนำ TIDLOR มาเป็น Outperform จาก Neutral และได้เพิ่มราคาเป้าหมายมาที่ 30 บาทจาก 24 บาท โดยมาจาก 1. การปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2566-2568 2.การเพิ่ม PBV ในระยะยาวมาที่ 2.63 เท่า จาก 2.53 เท่า เพื่อสะท้อนแนวโน้ม ROE ที่ดีขึ้นเล็กน้อย

ส่วนบทวิเคราะห์ของ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ระบุว่า ฝ่ายวิจัยปรับคำแนะนำ ขึ้นเป็น “ซื้อ ” จากเดิม “ถือ” และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 33 บาท อิง 2023EPBV ที่ 3.0x (เดิม 25.00 บาท อิง 2023E PBV ที่2.4x) มีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นต่อการประชุมนักวิเคราะห์ จากการปรับเป้า NPL ลงเป็นไม่เกิน 1.8% และค่าใช้จ่ายสำรองลดลงเป็น 3.0-3.35% ขณะที่ผลการดำเนินงานด้านอื่นยังคงเป็นไปตามเดิม ทั้งสินเชื่อที่เติบโตดี +10-20%, cost of fund ยังเพิ่มขึ้น +50 bps และ cost to income ที่จะเพิ่มขึ้นใน 2H23E จากการกลับมาเปิดสาขา จากปัจจุบันที่ชะลอ โดยปรับกำไรสุทธิปี 2023E ขึ้น +13% เป็น 3.8 พันล้านบาท(+5% YoY) และปี 2024E ขึ้น +17% เป็น 4.7 พันล้านบาท (+22% YoY) จากการปรับเพิ่ม loan growth, ลด NPL และ credit cost ลงสะท้อนความกังวลที่ลดลงต่อ NPL ที่จะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง

ข่าวเกี่ยวข้อง